ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

สงสัยไปหมด

๒o ธ.ค. ๒๕๕๘

สงสัยไปหมด

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๘

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง ขอบคุณหลวงพ่อชี้ทางเดินให้

ขอบคุณหลวงพ่อ เว็บไซต์มีประโยชน์มาก ทำให้ตาสว่างขึ้น สว่างขึ้นมาก มองเห็นทางเดินเพื่อการพ้นทุกข์ ตั้งแต่มาติดอยู่ที่เว็บไซต์นี้ การปฏิบัติธรรมเจริญขึ้นมากกว่าการเดินทางไปอีสานบ่อยๆ

ตอบ : นี่เขาเขียนมานะ เวลาคนถ้าเข้ามาเจอสิ่งใดแล้ว ถ้ามันเป็นประโยชน์แล้ว มันก็จะคิดอย่างนี้ แต่ความคิดของคนมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ฉะนั้น เขาบอกว่าเขาขอบคุณมากที่เว็บไซต์นี้ให้ประโยชน์มาก

ก็ให้ธรรมเป็นทานๆ เห็นไหม ให้ธรรมเป็นทาน คนที่มีจิตใจเป็นธรรม เขาฟังแล้วเขาก็ชื่นใจ แต่คนที่จิตใจเป็นโลก พอเขามาเห็นอย่างนี้ เขาเห็นแล้วเขาขัดเคืองใจ เพราะเคยมีพระอยู่กับเรานะ เวลาพระมาอยู่กับเรา เราพูดถึงธรรมวินัยให้ฆราวาสเขาเข้าใจ เขาบอก หลวงพ่อ ถ้าหลวงพ่อพูดอย่างนี้ เราก็หากินไม่ได้เลยน่ะสิ” โอ้ตายเลยนะ มีคนคิดอย่างนี้ก็มี เห็นไหม บอกว่าเหมือนกับรัฐบาลให้ประชาชนโง่ๆ ไว้ จะได้ปกครองง่ายไง 

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าให้ความรู้เขาให้เขาไม่ได้ ถ้าให้เขาแล้วเดี๋ยวหลอกเขาไม่ได้ นี่เขามาเป็นคำนี้นี่พระพูดเองนะ พระมาอยู่กับเราแล้วมาฟังเทศน์ เห็นว่าเราให้ปัญญาอยู่บ่อยครั้ง เขาบอกอย่างนี้พระก็อยู่ยากน่ะสิ แสดงว่าโยมเขาก็ทันพระหมดน่ะสิ” พระก็เลยทำตัวลำบาก

อ้าวปัญญาชนไง คนมีปัญญา คนที่เป็นคนดี ความดีกับความดีมันเข้ากันไง มันเป็นประโยชน์ทั้งนั้น ถ้ามันเป็นประโยชน์ ประโยชน์กับคนที่ใจเป็นธรรม แต่มันไม่เป็นประโยชน์เลยกับคนที่เขาหวังผล เขามีผลประโยชน์ทับซ้อน เขาคิดของเขาเพื่อประโยชน์ของเขา กรณีเว็บไซต์เรา เขาไม่ชอบเลย

นี่พูดถึงว่า เวลาคนที่ได้ประโยชน์เขาชมมา เขาบอกขอบคุณเว็บไซต์นี้มาก มีประโยชน์มาก ทำให้หูตาสว่างขึ้น มองเห็นการเดินทางพ้นทุกข์ ตั้งแต่มาอยู่ที่เว็บไซต์นี้ การปฏิบัติธรรมของเขาเจริญดีกว่าเขาเดินทางไปเที่ยวหาพระ ว่าอย่างนั้นเลย 

เที่ยวไปหาพระ เห็นไหม พระในบ้าน พ่อแม่ของเรา พระอรหันต์ของเรา ส่วนใหญ่แล้วทางโลกเขาจะพูดกันอย่างนั้น บอกเที่ยวไปหาพระนอกบ้านๆ แล้วพระในบ้านไม่เคยดูแลรักษา 

เราก็ดูแลรักษาของเรา เราก็กตัญญู เราก็ดูแลรักษา แต่มันเป็นทางโลก ทางโลกเพราะเราต้องมีวิชาชีพใช่ไหม เราต้องทำอาชีพใช่ไหม เราไปอย่างนั้น เราจะมาคลุกคลีอย่างนั้นไม่ได้ แต่เราต้องมีน้ำใจต่อกัน ถ้ามีน้ำใจต่อกันนะ พ่อแม่ลูกมีน้ำใจต่อกัน อบอุ่น 

แต่ถ้ามันระแวงต่อกัน มันระแวง คำว่า ระแวง” ที่ไหนก็ไม่ดี พอมันระแวงแล้วมันหวาดระแวง หวาดระแวงแล้วมันอยู่ไม่เป็นสุขหรอก แต่ถ้ามันอบอุ่นนะ ในบ้านอบอุ่น ใครไปไหนมาก็อยากกลับบ้านเนาะ ถ้าในบ้านไม่อบอุ่นไง นี่พระอรหันต์ในบ้าน ถ้าเราดูแลพระอรหันต์ในบ้านของเรา เห็นไหม ที่นี่สำคัญที่สุด เสร็จแล้ว เสร็จแล้วเราค่อยมาดูแลหัวใจของเรา

ถ้าเราดูแลหัวใจของเรา ถ้าเว็บไซต์นี้มันเป็นประโยชน์มันก็เป็นประโยชน์กับคนที่จิตใจเป็นธรรม จิตใจที่เขาแสวงหา เราพูดบ่อย กาลามสูตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดเรื่องกาลามสูตร อย่าให้เชื่อ อย่าเพิ่งเชื่อ ฟัง ฟังแล้วค้นคว้า แล้วศึกษา แล้วไปแยกแยะถูกหรือผิด อย่าเพิ่งเชื่อ ไม่ใช่ว่าเราบอกอย่าเพิ่งเชื่อๆ แต่ของเราต้องบังคับให้เชื่อ... ไม่ใช่เพราะอะไร 

เพราะจิตใจที่สูงกว่า จิตใจที่สูงกว่าคือเหตุผลมันเหนือกว่า เหตุผลที่เหนือกว่าเหตุผลของเรา เราสู้เหตุผลนั้นไม่ได้ แล้วเราก็ยังเข้าข้างตัวเราเองว่าเหตุผลเราดีกว่า เหตุผลที่เหนือกว่า เหตุผลที่มีเหตุผลมากกว่า เราบอกอันนั้นผิด อันนั้นเห็นแก่ตัว จิตใจที่ต่ำกว่ามันคิดของมัน มันคิดไม่ได้หรอก

ฉะนั้น เวลาในเว็บไซต์พูดถึงธรรมะมันหลากหลาย พูดตั้งแต่ เห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เวลาเทศน์คฤหัสถ์ อนุปุพพิกถา พูดเรื่องทานเท่านั้น เรื่องทาน เรื่องเสียสละ เรื่องความอยู่ในสังคม ขอให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข พูดแค่นี้แหละ แล้วจิตใจเขาควรแก่การงานแล้วถึงเทศน์อริยสัจ 

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ในเว็บไซต์เวลาเทศน์เช้าๆ ก็เทศน์เพื่อ เห็นไหม บางคนมาทำบุญ เราเข้าใจ เพราะทางโลก ทางโลกเวลาสำคัญนะ คนอยากรีบไปรีบมา อยากกลับไปทำงาน เขารับผิดชอบ หลวงพ่อพูดเสียเวลามากเลย” เราเคยเจอนะ โยมบอกว่า หลวงพ่อฉันเถอะ หลวงพ่อฉันเถอะ” คือเขาอยากจะรีบกลับ หลวงพ่อเทศน์อยู่นั่นน่ะ

ฉะนั้น เวลาคนไปคนมามันแตกต่างกันตรงนี้ มันแตกต่างตรงที่ว่าจิตใจของคน ถ้าคนเขาทุกข์เขายาก เขาแสวงหา เหมือนคนเจ็บไข้ได้ป่วย เขาไปถึงหมอ เขาก็อยากได้ยา อยากให้หมอรักษา ไอ้คนที่เขาไม่เจ็บไม่ป่วยขึ้นมา เขามาธุระปะปัง เขาก็รีบมารีบไป 

มาวัดมาวาก็เหมือนกัน คนที่มาวัดมาวา ความคิดมันแตกต่างหลากหลาย แต่ แต่มันเป็นประเพณีไง มันเป็นวัฒนธรรม เพราะไปถวายจังหัน ถวายเสร็จแล้วต้องคอยรับพร ทีนี้พอรับพร ก่อนจะรับพรต้องฟังเทศน์ก่อน มันก็เป็นการบังคับกลายๆ บังคับให้ฟัง ถ้าฟังแล้วถ้าเขาเก็บประโยชน์ได้ อันนั้นจะเป็นประโยชน์กับเขา ถ้าเขาฟังแล้วเก็บประโยชน์ไม่ได้ มันก็กรรมของสัตว์ นี่ครูบาอาจารย์ท่านมีหน้าที่อย่างนั้น

ฉะนั้น ในเว็บไซต์เนี่ย ถ้าพูดบอกว่า ในเว็บไซต์นี้มันดีเหลือเกินๆ” ดีเหลือเกินเวลาจิตใจของคนที่เขียนมาจิตใจยังดี ยังเข้ากับเราได้ เดี๋ยวพอจิตมันเสื่อมนะ แล้วไปฟังเหตุผลของพระเจ้าเล่ห์เจ้ากลอนนะ ร้อยสันพันคมนะ เขาจะยกเหตุยกผลขึ้นมา จะย้อนกลับมาเลย อืมเราเสียเวลากับเว็บไซต์พระสงบเสียนานเชียว สู้เราไปทางอื่นดีกว่านี้ตั้งเยอะ” เพราะอะไร

เพราะจิตใจมันเสื่อม พอจิตใจมันเสื่อมมันท้อแท้อยู่แล้ว แล้วทีนี้กิเลสไง คนที่เขาไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว คนที่เขาต้องมีเล่ห์มีกล เขาก็ยกเอาเหตุผลมาอ้าง แล้วเวลาอ้างพุทธพจน์เสียด้วย พอพุทธพจน์ก็ เออจริงเนาะ แหมหลงไปฟังสาวกภาษิตอยู่ตั้งนาน พุทธพจน์นี่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอ้จริงเนาะ” เวลาจิตมันเสื่อม พอใครมายุมาแหย่ มันไปเลย 

จิตของคนมีเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ เวลามันเจริญขึ้นมามันดีงามไปทั้งนั้น เวลาจิตใจเราดี มีความอบอุ่นนะ โอ้โฮครอบครัวมีแต่ความสุข

ทีนี้สรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นอนิจจัง มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความเปลี่ยนแปลงของมัน เราละความเปลี่ยนแปลงอันนั้นทันไหม ถ้าเราละความเปลี่ยนแปลงอันนั้นทัน แล้วจิตใจเราดีกว่า เราเห็นความเปลี่ยนแปลงแล้วมันจะเกิดธรรมสังเวชนะ มันสะเทือนใจ มันสะเทือนใจว่าเวลาสิ่งที่มันดีงามอยู่นี่เราก็ไม่ขวนขวาย เราก็ไม่รีบทำของเรา รอเวลามันสุกงอมแล้วเราจะมารีบขวนขวาย

พอขวนขวายแล้วทำไม่ได้ ก็มาบีบคั้นตัวเองอีก มาบีบคั้นตัวเองนะ เวลาหนุ่มเวลาสาวก็ไม่ทำ ก็คิดว่าแก่ๆ แล้วค่อยเข้าวัด พอแก่ๆ เข้าวัดเสร็จแล้ว นั่งภาวนาก็ไม่ได้ ลุกก็ไม่ไหว เสียใจอีก ปัจจุบันนี้ก็ผัดวันประกันพรุ่งไว้อนาคต เวลาไปถึงอนาคตแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ แล้วก็หมดเวลาไป นี่เวลาจิตมันเสื่อม จิตมันเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญทั้งนั้น 

ฉะนั้น เวลาใครมาชม เห็นไหม โลกธรรม ๘ นี่เขาชมมาเลยนะว่า เว็บไซต์นี้สุดยอดดีมาก ดีมาก ขอให้เป็นประโยชน์เถอะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะฤดูฝน เวลาฝนตกแดดออก พืชไร่มันต้องการน้ำ ต้องการแดด ฝนตกแดดออกมันทำให้พืชเจริญงอกงาม เวลาถ้ามันหน้าแล้ง มันไม่มีฝน ไม่มีน้ำ ทำสิ่งใดขาดตกบกพร่องทั้งนั้นเลย จิตใจของเราถ้ามันยังชื่นบานอยู่ จิตใจเรามีรีบๆ กระทำเสีย ทำให้ดีของเรา ให้เป็นประโยชน์กับเรา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ทำให้เกิดในหัวใจของเรา 

ถ้าเว็บไซต์มันดีมันก็เป็นประโยชน์ มันก็เหมือนฝน เหมือนฝน เหมือนอากาศ ใครจะใช้ประโยชน์จากมัน ถ้าใช้ประโยชน์ มันเป็นประโยชน์ ถ้าใครไม่ใช้ประโยชน์จากมันนะ ดูสิ เวลาเขาเกี่ยวข้าว เขาไม่อยากให้ฝนตกเลย เขากลัวข้าวเขาเสีย เวลาจำเป็นอยากได้น้ำ เขาอยากได้มาก เวลาหน้าจะเกี่ยวข้าวไม่อยากให้ฝนตก เพราะตกแล้วข้าวเขาเสียหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน จัดให้มันพอดี จัดให้มันพอดี เว็บไซต์ที่มันจะเป็นประโยชน์ เพราะมันเป็นประโยชน์อยู่ที่คน จิตใจที่เก็บประโยชน์จากเว็บไซต์นั้น แต่ถ้าคนที่เขาจะหาประโยชน์จากเรื่องอื่น เว็บไซต์นั้นมันก็ไปชี้ช่องให้เขาว่าเขาทำไม่ได้ เขาทำแล้วมันผิดไง ผิดธรรมผิดวินัย ผิดประเพณีผิดวัฒนธรรม ไม่ควรทำๆ 

เราควรทำสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงาม ดีงามจากภายนอก ดีงามจากภายใน ดีงามจากภายใน เห็นไหม หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เอาหัวใจของเราให้ได้ ถ้าได้แล้วมันเป็นประโยชน์กับเรา นี่พูดถึงเว็บไซต์ ชมมาซะ ขอบคุณหลวงพ่อ 

ถาม : เรื่อง ฆราวาสที่สำเร็จพระอรหันต์

กราบท่านอาจารย์ที่เคารพครับ กระผมใคร่อยากรู้ว่า ฆราวาสที่สำเร็จอรหันต์ต้องนิพพานในวันนั้นเลยหรือไม่ หรือภายใน ๗ วัน กรณีแม่ชีสำเร็จอรหันต์ เช่น แม่ชีแก้ว เสียงร่ำลือที่เขาร่ำลือกัน เป็นแม่ชี เป็นเพศนักบวช หรือเพศฆราวาส แล้วแม่ชีอัฐิกลายเป็นพระธาตุ แสดงว่าแม่ชีสำเร็จพระอรหันต์ใช่ไหมครับ ถ้าแม่ชีเป็นเพศฆราวาสทำไมไม่นิพพานเลย หรือใน ๗ วันครับ ขอเมตตาหลวงพ่อช่วยอธิบายให้เข้าใจด้วยครับ

ตอบ : ฉะนั้น เราสงสัยในเริ่มต้นตั้งแต่เราปฏิบัติ คนเราจะประพฤติปฏิบัตินะ สงสัยว่าชาติที่แล้วเกิดมาจากอะไร เราเกิดมาชาติที่แล้วเป็นอะไร ทุกคนสนใจเรื่องภพเรื่องชาติ แล้วเวลาจะปฏิบัติ สมาธิก็ทำไม่ได้ สติก็ตั้งไม่เป็น แล้วเวลาปฏิบัติ ปฏิบัติยังล้มลุกคลุกคลานเลย แล้วก็เป็นฆราวาสด้วย แล้วก็มีความสงสัย 

เอ๊ะถ้าเราปฏิบัติแล้วเป็นพระอรหันต์ เราต้องตายภายใน ๗ วันหรือเปล่า” 

อู้ฮูมันสงสัยไปหมดเลยนะ สงสัยตั้งแต่ว่าชาติที่แล้วเป็นอะไรมาถึงมาเกิดเป็นคน เกิดเป็นคนมันจะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าปฏิบัติก็ปฏิบัติยังล้มลุกคลุกคลาน ปฏิบัติยังไม่เป็นเลย แต่ถ้าเป็นฆราวาสสำเร็จเป็นพระอรหันต์ต้องตายใน ๗ วันอีก 

อ้าวสงสัย สงสัยทุกเรื่องเลย สงสัยตั้งแต่ที่มา มันมาอย่างไรถึงมาเป็นเรา ปัจจุบันปฏิบัติอยู่ก็ยังสงสัย สงสัย ยังคำนวณ ไอ้สงสัยๆ อย่างนี้จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ถ้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วมันจะตายภายใน ๗ วันหรือเปล่า ก็ยังสงสัยต่อไป มันสงสัยไปหมดเลย

กรณีอย่างนี้ หลวงตาท่านพูดอยู่แล้ว ท่านพูดเพราะเราเป็นลูกศิษย์ท่าน เราฟังเทศน์ท่านเยอะมาก ท่านบอกว่าไอ้ที่ว่า สำเร็จแล้ว ๗ วันจะตาย ท่านบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ 

เหตุผลของหลวงตานะ ท่านบอกว่า มรรคผลนิพพานมันจะมาฆ่าคนหรือ คนฆ่าคนคือโจร คือพวกปล้นจี้ชิงทรัพย์มันถึงทำร้ายคน คุณงามความดี ศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติด้วยมรรคด้วยผลขึ้นมา สำเร็จด้วยมรรคด้วยผล มรรคผลนั้นจะมาฆ่าคน จะมาทำลายชีวิตคน มันเป็นไปไม่ได้ ความดีมันจะมาทำลายให้มันเป็นอย่างอื่น มันเป็นไปไม่ได้หรอก

ฉะนั้น ไอ้สิ่งที่ว่าสำเร็จ ๗ วันแล้วต้องตายๆ ในพระไตรปิฎกมันก็จดจารึกกันมา ใครจะอ้างอิงอย่างไรก็แล้วแต่ ดูสิ เวลาใครจะอ้างเรื่องเพื่อผลประโยชน์ต่อเขา ไอ้นี่บอกว่าเป็นพุทธ-พยากรณ์ๆ พุทธพยากรณ์ตรงไหน พุทธพยากรณ์ ถ้าองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เขาก็จดจารึกมาอยู่ในพระ-ไตรปิฎก ในพระไตรปิฎกใครๆ ก็ศึกษาใช่ไหม คนจบ ๗ ประโยค ๙ ประโยค เขาศึกษาพระไตรปิฎกทั้งนั้น แล้วศึกษาพระไตรปิฎกมาแล้วก็มาเถียงกันเรื่องพระไตรปิฎก พุทธพจน์ พุทธพยากรณ์ ไอ้คนนู้นก็พยากรณ์อย่างหนึ่ง ไอ้คนนี้ก็พยากรณ์อย่างหนึ่ง แต่อ้างพุทธพจน์หมดเลย อ้างพยากรณ์อันนั้นเลย

นี่ก็เหมือนกัน ไอ้ที่ว่า ๗ วันแล้วต้องตาย ๗ วันแล้วต้องตาย เวลามันตายมันมีพาหิยะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้วขอบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าบอกว่า พาหิยะ เธอไม่มีบริขารจะบวชอย่างไรล่ะ ไม่มีบริขาร ไม่มีบริขาร ๘ ก็บวชเป็นพระมาไม่ได้ ถ้าจะบวชเป็นพระต้องมีบริขาร” พาหิยะก็ไปหาบริขารอยู่ ไปโดนควายแม่ลูกอ่อนขวิดตายไง นั่นสำเร็จที่ตายก็มี 

แล้วเวลาพุทธสาวกที่มีบารมี เวลาฟังเทศน์องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เอหิภิกขุ ขอบวช พอขอบวช บริขารเป็นทิพย์ลอยมาเลย เป็นทิพย์มาเองโดยอัตโนมัติเลย ในพระไตรปิฎกมีหลากหลายมาก หลากหลายที่ว่าคนที่มีบุญ คนที่มีบุญคือเขาทำของเขาไว้ พอทำของเขาไว้ ถึงเวลาแล้วมันจะมีเป็นทิพย์มาเลย ลอยมาบนอากาศเลย เป็นทิพย์แม้แต่ชุดทีเดียว 

แล้วต่อไปไอ้ที่เป็นพระอรหันต์ ฟังแล้วมันเศร้า พาหิยะไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้าหนเดียว พระพุทธเจ้าเทศน์พาหิยะเป็นพระอรหันต์เลย แล้วก็เอหิภิกขุขอบวชเหมือนกัน แต่องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เธอไม่มีบริขารบวชอย่างไร” ถ้าไม่มีบริขาร พาหิยะก็ไปหาบริขารอยู่ คือไปหาบริขาร ๘ แล้วไปเจอควายแม่ลูกอ่อนขวิด พระอรหันต์ โดนขวิดตายก็ตรงนี้ ในพระไตรปิฎกที่เจอมาก็เจอตรงนี้ แล้วพระอรหันต์ที่ว่าไม่ได้บวช ๗ วันตาย 

มันมีที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็มี พระเจ้าสุทโธทนะ พระเจ้าสุทโธทนะท่านชราภาพอยู่แล้ว เหมือนท่านเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ ท่านชราภาพมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศนาว่าการโปรดพ่อไง โปรดพ่อขณะที่เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ ท่านพิจารณาของท่าน นั่นพระเจ้าสุทโธทนะที่เป็นพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลมี ฆราวาสเป็นพระอรหันต์ก็มีทั้งนั้น

ทีนี้ไอ้ที่ว่า ๗ วันตาย ๗ วันตาย นี่คือเป็นคำที่หลวงตาท่านบอก เวลาธรรมะเนี่ยนะมันจดจารึกกันมา แล้วที่ผู้ประพฤติปฏิบัติไปมันใคร่ครวญ ใคร่ครวญด้วยคุณสมบัติ ใคร่ครวญด้วยข้อเท็จจริง มันเป็นไปได้ หรือมันเป็นไปไม่ได้ นี่เหตุผลของหลวงตาท่านบอกว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่มรรคผลนิพพานจะมาทำร้ายชีวิตคน คือคุณงามความดีมาทำลายมันไม่มีหรอก สิ่งที่ทำลายคือความชั่ว คือกิเลส แต่นี้มรรคผลมันเป็นดีหรือชั่ว พระอรหันต์นี้มันดี สิ่งที่ดีจะมาทำร้ายชีวิตหรือ นี่เหตุผลหลวงตานะ

แต่เหตุผลเรา เราก็ย้อนกลับมาที่ว่า ชีนี่เป็นเพศของฆราวาสหรือเป็นเพศนักบวช ถ้าเป็นเพศฆราวาส เพราะแม่ชีแก้วท่านเป็นพระธาตุ ท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วทำไมท่านอยู่มาจนป่านนี้ นี่มันก็ยืนยันกัน มันยืนยันกันด้วยความดีไง ด้วยความดี เพราะแม่ชีแก้วในหมู่วงกรรมฐานเราจะเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็นพระอรหันต์ เขาดูกันที่ธรรมะ 

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านคุยกับหลวงปู่บัว อ้าวพูดมาสิ” หลวงปู่บัวท่านก็พูดขั้นตอนของท่าน เวลาบอกว่า พูดต่อไปสิ” หลวงปู่บัวท่านติดใช่ไหม ท่านบอกแค่นี้คือพระอรหันต์ หลวงตาบอก อู้ยตาย” เพราะมันยังมีอีกขั้นตอนหนึ่ง ท่านก็อธิบายต่อไป พออธิบายต่อไปแล้ว เสร็จแล้วพอหลวงปู่บัวท่านก็เอาเหตุผลของหลวงตาไปปฏิบัติ พอปฏิบัติเสร็จปั๊บ ตี ๔ ท่านมารายงานผลเลย เห็นไหม 

พระอรหันต์ไม่พระอรหันต์เขาดูกันที่เหตุผลนี้ เหตุผลที่ว่ามรรค ๔ ผล ๔ การกระทำถึง ๔ รอบ ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค เขาดูกันตรงนี้ เขาดูตรงนี้ แล้วแม่ชีแก้วอยู่กับหลวงตา หลวงตาเป็นคนสอนเอง พอสอนเองติดขัดอย่างไรหลวงตาท่านเป็นคนสอนเอง ท่านถึงยืนยันไง ยืนยันว่านี่พระอรหันต์ แล้วเวลาท่านเสียชีวิต เผาแล้วเป็นพระธาตุ นี่ไง แล้วมัน ๗ วันไหม มันไม่ ๗ วัน

นี่คำถาม เพศฆราวาสถ้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ฉะนั้น ถ้าแม่ชีแก้วเป็นเพศฆราวาส ทำไมไม่นิพพานไปเลยใน ๗ วันนั้น ขอเมตตาหลวงพ่อช่วยอธิบายด้วย

อธิบายก็อธิบายตรงนี้ ฉะนั้น เราบอกว่าอย่าสงสัยไปเลย อย่าสงสัยว่าเป็นพระอรหันต์แล้วก็ต้องตาย ปฏิบัติไปเถอะ สงสัยตั้งแต่ภพชาติ สงสัยตั้งแต่การประพฤติปฏิบัติ แล้วสงสัยว่าถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วก็จะตายภายใน ๗ วัน ตกลงจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ ตกลงจะเอาอะไรล่ะ ตกลงจะเอาศีล สมาธิ ปัญญา เอามรรค หรือจะเอาชีวิตของคนอื่นมาวิเคราะห์วิจัย

ฉะนั้น ถ้าเราไม่เอาเรื่องนี้มาวิเคราะห์วิจัย เรื่องนี้วางเลย เพราะว่ายืนยันกันโดยเหตุผลของหลวงตา ท่านบอกว่า ความดีไม่ทำร้ายใคร ความดีมีแต่ส่งเสริม ความดีมีแต่สนับสนุนให้ดี ความดีทำให้มันเสื่อมทรามไปไม่มี นี่เหตุผลของหลวงตา แล้วทีนี้ย้อนกลับมาแม่ชีแก้ว แม่ชีแก้ว ชีวิตของท่านทั้งชีวิตก็ยืนยันแล้ว แล้วพอเสร็จแล้วมันก็จบลงด้วยความดีงาม

ฉะนั้น ไม่ต้องสงสัย สงสัยนี้วางไว้ ไปเห็นนิมิตแล้วก็ติดอยู่นั่น ไปเห็นอะไรก็ติดอยู่อย่างนั้น วางให้หมด กำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิให้จิตใจเรามั่นคง ให้มันเข้มแข็ง แล้วพิจารณาของเราไป เจริญก้าวหน้าขึ้นไป ทำเพื่อประโยชน์กับเรา นั่นล่ะของจริง นั่นล่ะปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้จริงเห็นจริงตามความเป็นจริง จับต้องได้ รู้เองเห็นเอง ไม่ต้องมีใครมาแก้ เราแก้ตัวเราเอง มันจะเป็นประโยชน์กับเรา นี่พูดถึงว่าฆราวาสที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จบ 

ถาม : เรื่อง ความแตกต่าง” 

เรียนถามหลวงพ่อ อัตตานุทิฏฐิ ๒๐ กับสักกายทิฏฐิ ๒๐ ต่างกันอย่างไรคะ 

ตอบ : เมื่อกี้ยังขอบคุณอยู่ชัดๆ เลย ในเว็บไซต์หลวงพ่อเป็นประโยชน์มาก คนถามคนเดียวกัน พอเว็บไซต์เป็นประโยชน์มาก อัตตานุทิฏฐิกับสักกายทิฏฐิเอามาแล้ว อัตตานุทิฏฐิกับสักกายทิฏฐิถ้ามันเป็นบาลี มันเป็นบาลี มันเป็นทางวิชาการ ถ้าเป็นวิชาการ ไปถามทางวิชาการ

อย่างของเรา ดูสิ พวกเรา เราว่าลูกศิษย์กรรมฐาน ลูกศิษย์กรรมฐานเขาปฏิบัติ เวลาปฏิบัติกันมีเหตุผล มีความขัดข้อง เขาหาครูบาอาจารย์เพื่อจะแก้ไข 

แต่ถ้าไปศึกษา ไปดูทางวิชาการ แล้วมาถามทางวิชาการ เขาเรียกปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติศึกษามาเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ ทีนี้เวลาเราจะมาปฏิบัติ เราไปห่วงอะไรปริยัติ คนจะออกเดินทาง คนออกเดินทางเขาจะมีแผนที่ เขากางนะ ไอ้นี่กางไปก็ดูแผนที่ไป เดี๋ยวมันรถตกข้างทางนะ กางแผนที่แล้วเก็บ แล้วเดินทางเดินให้ตรง เดินให้จริงให้จัง

ฉะนั้น เวลาจะถาม ให้เอาความจริงขึ้นมา ให้ปฏิบัติแล้วติดขัดแล้วถามมา แต่ถ้ามันเป็นเอาทางวิชาการมาถาม เรามันฝ่ายปฏิบัติ เราเป็นฝ่ายกระทำ ลงมือทำ ไม่ใช่ไปค้นคว้ามาแล้วมาถาม มาถามอย่างนี้ไม่ไหว มันเป็นทางวิชาการ ไปถามนักวิชาการนั้น 

แต่ถ้าปฏิบัติไปแล้วติด ปฏิบัติไปแล้วมันมีความสงสัย เอาตรงนั้นน่ะถามมา เอาตรงที่เวลาตัวรู้ตัวเห็นแล้วมันสงสัยอย่างไร ถามมา แต่ถ้าเอาทางวิชาการมาถาม เสียเวลา จบ 

ถาม : เรื่อง ใช่กิเลสบังเงาหรือเปล่าครับ

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ผมมีข้อสงสัยที่เกิดขึ้นในระหว่างที่กำลังภาวนาว่าใช่กิเลสบังเงาหรือเปล่า ดังต่อไปนี้

เมื่อก่อนเวลาที่ผมภาวนา ผมมักจะมีความคิดผุดขึ้นมาเป็นเรื่องๆ ซึ่งผมก็ใช้วิธีปัญญาอบรมสมาธิเข้าจับ และพิจารณาความคิดนั้นจนมันคลี่คลายออก หรือผมใช้ความคิดระลึกไล่ดูร่างกายของตนเองตามอาการ ๓๒ และคิดกำหนดในร่างกายของตนเองผุพังย่อยสลายกลายเป็นฝุ่น และกลับมารวมตัวกันใหม่อีกครั้งเพื่อเป็นการฝึกการใช้ปัญญาตามคำที่หลวงพ่อแนะนำ 

แต่ช่วงประมาณ ๑ ปีที่ผ่านมา ความคิดที่เคยผุดเป็นเรื่องมันหายไป แต่มีความคิดฟุ้งซ่านอีลุ่ยฉุยแฉกที่ไม่สามารถรวบรวมมาพิจารณาด้วยปัญญาอบรมสมาธิได้ และพอจะใช้ความคิดไล่ดูร่างกายของตัวเองตามอาการ ๓๒ กลับจืดชืด ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เคยอย่างที่เคย อย่างนี้ใช่กิเลสบังเงาหรือเปล่าครับ ถ้าใช่ ขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยชี้แนะด้วยครับ

เมื่อก่อนนี้ผมเคยบริกรรมพุทโธได้ต่อเนื่อง มีแวบไปคิดเรื่องอื่นบ้างเป็นบางครั้ง แต่ในช่วงประมาณ ๑ ปีที่ผ่านมาเช่นกัน พอผมบริกรรมพุทโธไม่นานก็ตกภวังค์ วูบไปทั้งช่วงสั้นๆ และยาว (ผมทราบว่าตกภวังค์ก็เพราะว่าไม่สามารถจำได้ว่าบริกรรมพุทโธครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ และผมเคยมีประสบการณ์จิตสงบเล็กน้อย แต่ทำให้รู้ว่า ถ้าจิตสงบจริง คำบริกรรมพุทโธจะเด่นชัดมากจนจำได้แม่นยำทำให้ผมต้องเปลี่ยนมาทำอานาปานสติแทน แต่ปรากฏว่ากลับตกภวังค์หนักไปกว่าเดิม 

สุดท้ายผมเลยต้องใช้การบริกรรมยาวๆ แทน ตามที่หลวงพ่อเมตตาตอบคำถามไปแล้วครั้งที่แล้วในกัณฑ์เทศน์เล่ห์กลครับ ผมสังเกตว่าคำบริกรรมพุทโธมี ๒ พยางค์ แต่ถ้าสติของผมอ่อนกำลังลงแม้เพียงเล็กน้อย สติจะจับพุทโธไม่ติด ก็ต้องใช้คำบริกรรมยาวๆ สัก ๑๐ พยางค์ สติจึงจะพอหาทางจับคำบริกรรมได้ อย่างนี้ใช่กิเลสบังเงาหรือเปล่าครับ

จากกัณฑ์เทศน์เล่ห์กล ที่หลวงพ่อให้ผมหมั่นระลึกถึงความตายเป็นมรณานุสติ ผมลองทำดูแล้วครับ ถ้าเป็นช่วงที่มีสภาวะที่กำลังสบาย สบายกายหรือสบายใจ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นมันจืดชืดมาก แต่ถ้าหากเป็นช่วงที่รู้สึกว่าอาจจะเป็นอันตรายได้ เช่น กำลังขับรถ หรือกำลังเดินลงบันได กลับรู้สึกมีสติเด่นชัดดีขึ้นครับ อย่างนี้ใช่กิเลสบังเงาหรือไม่ ถ้าใช่ หลวงพ่อช่วยแนะนำด้วยครับ

ตอบ : ไอ้กิเลสบังเงาๆ กิเลสบังเงา เราใช้ถึงคำว่า เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติไป เวลาปฏิบัติไม่ได้มันก็อั้นตู้ใช่ไหม แต่เวลาปฏิบัติปั๊บ ปฏิบัติไปแล้วมันมีผล พอมีผลมันมีผลในทางลบ มันมีผลในทางลบหมายความว่าเราปฏิบัติแล้วมันว่าง ว่างโดยขาดสติ เราภาวนาไปแล้วมันหายวูบไป นี่เขาเรียกกิเลสบังเงา 

เราเข้าใจว่าเป็นผลไง เราเข้าใจว่าเราปฏิบัติแล้วมันดี เพราะปฏิบัติไปแล้ว โอ้มันว่างหมด มันรู้สึกว่ามีความสุข เพราะว่าการปฏิบัตินะ กิเลสอย่างหยาบๆ คือกิเลสของเรามันดื้อด้าน เวลาเราปฏิบัติไปแล้วบางทีมันสงบลงได้ มันรักษาตัวดีขึ้น รักษาตัวดีขึ้นมันเบา ตัวมันเบา มันสว่างโพลงต่างๆ นี่ก็อุปกิเลส

กิเลสอย่างหยาบ กิเลสสามัญสำนึกเรา กิเลสดิบๆ เรานี่ เวลาปฏิบัติไปแล้วจิตใจมันเบา จิตใจมันมีที่เกาะที่พึ่งอาศัย เราก็คิดว่านี่เป็นธรรมๆ มันเป็นกิเลสทั้งนั้น กิเลสอย่างหยาบๆ กิเลสโดยสามัญสำนึก เวลาปฏิบัติไปแล้วมันมีผลไง 

ถ้ามีผล ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ มันมีผลดีงามขึ้นไป มันจะเป็นศีล สมาธิ ปัญญา มันจะเจริญขึ้นไป เราพิจารณาขึ้นไป จิตมันตั้งมั่น จิตมีกำลังแล้วมันยกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตตามความเป็นจริง มันพิจารณาของมันไปได้

แต่คนส่วนใหญ่ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ปฏิบัติไปแล้วหมุนอยู่นั่น ปฏิบัติไปแล้วไปไหนไม่รอดหรอก เหมือนเมฆ ลอยไปเดี๋ยวก็เปลี่ยนรูป เดี๋ยวก็จางหายไป เดี๋ยวความชื้นมามันก็จับตัว แล้วก็ลอยไปอยู่นั่นน่ะ เหมือนก้อนเมฆลอยบนอากาศ อย่างนี้เราใช้คำว่า “กิเลสบังเงา

อย่างนี้มันเป็นกิเลสบังเงาหรือเปล่าครับ

กิเลสบังเงา หมายถึง ปฏิบัติไปแล้วมันไม่ได้ผล มันไม่ได้ผลในทางธรรมนะ แต่มันได้ผลในความรู้สึกเรา พอเรารู้สึกว่าเราปฏิบัติแล้วเรารับรู้ได้ เรารับรู้ได้ โอ๋ยมันเบา โอ๋ยมันเวิ้งว้าง แต่มันไม่เป็นสเต็ปต่อเนื่อง เพราะอะไร 

เพราะธรรมดาการปฏิบัติมันก็ปฏิบัติจากคนดิบๆ ปฏิบัติจากพวกเรา เราปฏิบัติ เห็นไหม เราก็ปุถุชน เรามีความตั้งใจดี เรามีความปรารถนาดี เราอยากจะทำความดีของเรา แต่เวลาทำขึ้นไปแล้ว เวลาหลวงตาท่านสอนประจำ การปฏิบัติที่ยาก ยากอยู่ตอนเริ่มต้น เริ่มต้นเหมือนคนที่ไม่เคยทำ คนทำงานไม่เป็น ทำอะไรมันจับพลัดจับผลูทั้งนั้น

แต่คนฝึกงานจนชำนาญแล้ว พอชำนาญแล้วมันทำงานเป็นแล้ว มันไปได้ พอมันไปได้นะ เริ่มต้นนี่ยากที่สุด แล้วมันจะไปยากอีกช่วงหนึ่งคือช่วงสุดท้าย ช่วงสุดท้ายเพราะมันเวิ้งว้าง มันไปถึงแล้วมันว่างหมด แล้วมันจะค้นคว้าหาจิตเดิมแท้อันนั้นก็ยาก

ท่านบอกว่า การประพฤติปฏิบัติมียากอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้น อีกคราวหนึ่งคือคราวสุดท้าย

ไอ้นี่มันคราวเริ่มต้นไง พอคราวเริ่มต้น ทีนี้พอปัญหามันร้อยแปด คนเขาก็เขียนมาถาม พอถามมาปัญหานั้นปัญหานี้ มันไปรู้ไปเห็นอย่างนั้นมันดี แล้วก็บอกพอมันไม่ดีแล้วมันหายไป ทีนี้บอกกิเลสมันบังเงา กิเลสบังเงา กิเลสมันอ้างธรรมะพระพุทธเจ้า อย่างนี้เป็นสติ อย่างนี้เป็นสมาธิ อย่างนี้เป็นธรรม กิเลสเนี่ยมันเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาอ้าง 

พออ้าง เห็นไหม พุทธพจน์ๆ พอพุทธพจน์อ่อนเลยนะ ไม่กล้าเถียง ใครมาพุทธพจน์กับเรานะ บอกพุทธพจน์กูไม่เถียง กูเถียงมึง กูเถียงคนพูดพุทธพจน์ พุทธพจน์เอาไว้ก่อน 

พุทธพจน์เป็นคำสั่งคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า แต่เนื้อแท้เนื้อหาสาระที่เราทำขึ้นมาของเรา มันเป็นอย่างนั้นไหม แล้วอย่างพวกเรามันก็พวกเด็กๆ เห็นไหม เวลาส่งข้อสอบก็อยากจะได้คะแนนเยอะๆ ทีนี้เวลาทำไปแล้วมันให้คะแนนตัวเองทั้งนั้น ถ้าให้กู กูก็ให้ ๑ คะแนน มันให้ ๑๐ เขาให้ ๒ เราให้ ๑๐ 

พุทธพจน์ๆ” อ้างว่าเหมือน อ้างว่าใช่ เห็นไหม กิเลสมันอ้างธรรมะพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เวลามันจะอ้าง มันจะเอาอะไรมาอ้างเราล่ะ เพราะเราก็ขวนขวาย เราก็ค้นหาอยู่แล้ว เราอยากเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น เวลามันอ้างพุทธพจน์นี่เชื่อเลย ใช่ นี่กิเลสบังเงา นี่คำว่า “กิเลสบังเงา

ฉะนั้น สาธุ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมะสาธารณะ ศีล สมาธิ ปัญญาที่เกิดในใจของเรา ธรรมะส่วนบุคคล ธรรมะในใจของเรา เราทำบุญจริงๆ แล้วธรรมะส่วนบุคคลมันก็วุฒิภาวะ วุฒิภาวะของคน เห็นไหม ดูพาหิยะฟังเทศน์พระพุทธเจ้าทีเดียวเป็นพระอรหันต์ไปเลย เพราะเขาได้สร้างบุญของเขามามาก

ไอ้เราพระพุทธเจ้าพูดแล้วพูดอีก เหมือนสีซอให้ควายฟัง เกิดมาท่ามกลางพระพุทธศาสนา เกิดมาท่ามกลางครูบาอาจารย์เต็มไปหมดเลย เวลาครูบาอาจารย์เทศน์ เทศน์เป็นความจริง โอ้โฮไม่เข้าใจ ฟังไม่ออก ไปเจอ ๑๘ มงกุฎนะ มันยอตูดนะ ใช่ใช่เลยนะ พอไปเจอ ๑๘ มงกุฎนะ คนนี้ชาติที่แล้วเป็นคู่ครองของเรา คนนี้ชาติที่แล้วปฏิบัติมาเกือบสำเร็จแล้ว แต่ยังไม่สำเร็จ มาเกิดชาตินี้พอดีเลย ปฏิบัติสำเร็จชาตินี้เลย โอ้โฮใช่ๆๆ

นี่ไง มันอยู่ที่วุฒิภาวะ วุฒิภาวะของจิตถ้ามันเข้มแข็งมากน้อยแค่ไหน ถ้าวุฒิภาวะที่เข้มแข็งนะ เราพูดบ่อยพูดประจำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ค้นคว้าอยู่ ๖ ปีเกือบเป็นเกือบตาย สุดท้ายแล้วมาศึกษากับอาฬารดาบส อุทกดาบส อาฬารดาบส อุทกดาบสบอกเลย บอกเจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เสมอเรา เป็นอาจารย์สอนได้ ตั้งให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นอาจารย์สอนเลย เจ้าชายสิทธัตถะปฏิเสธ เพราะนี่เป็นคำชม คำชมของอาจารย์แต่หัวใจเราทุกข์ มันยังสงสัย มันยังฆ่ากิเลสไม่ได้ เจ้าชายสิทธัตถะไม่เอา นี่ไง เพราะอะไร 

เพราะท่านสร้างบารมีมาเต็มไง ท่านสร้างบารมีมาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย แม้แต่อาจารย์ของตนยกย่องสรรเสริญเชิดชู ท่านยังไม่เชื่อเลย คนที่มีบารมีจะเป็นอย่างนี้ คือใครจะจูงจมูกไม่ได้ ใครจะมาชักนำไม่ได้ จะชักนำด้วยเหตุด้วยผลเท่านั้น ถ้าเหตุผลลงแล้วเป็นธรรม เชื่อ ถ้ามายกตูดยกยอปอปั้นกันเพื่อเอาผลประโยชน์ ไม่เชื่อ 

แต่กิเลสเราชอบ เชื่อ กิเลสเราชอบ นี่เขาถามเรื่องกิเลสบังเงาไง ฉะนั้น กิเลสบังเงาเป็นแบบนี้ 

แต่นี้คำถามที่เขาถาม คำถามข้อที่ ๑แต่ก่อนนี้ผมภาวนาดีไปหมด

มันจิตเสื่อม มันเจริญแล้วเสื่อมอย่างนี้ แล้วถ้าเสื่อม เสื่อมบ่อยๆ อย่างนี้ปั๊บ เดี๋ยวมันจะดื้อด้าน ฟังเทศน์จนชินหู พูดจนชินปาก แต่ใจมันด้าน ปฏิบัติจนก้นด้าน นั่งสมาธิจนก้นด้าน สมาธิมันไม่ลง ไม่ลงเพราะอะไร 

เพราะไปคุ้นชินกับมัน ให้กิเลสมันลูบหัวเล่น ถ้าไม่ให้กิเลสลูบหัวเล่น จริงจังกับมัน จริงจังกับมัน มันอยากไป ไม่ไป อยากกิน ไม่กิน มันอยากทำ ไม่ทำ สู้กับมัน มันจริงจังก็จริงจัง ไอ้นี่ไม่จริงจัง ตัวเองไม่จริงจัง แล้วพอมีปัญหา หลวงพ่อ หลวงพ่อ

อู้ฮูตายห่าเลย เวลามึงภาวนาก็ภาวนาที่บ้าน มันก็อยู่บ้านเนาะ เราก็อยู่นี่ พอมีปัญหาก็ หลวงพ่อ หลวงพ่อ” ให้มันจริงจัง ถ้ามันจริงจังขึ้นไป ทำจริงจังขึ้นไป มันอยู่ที่วาสนาของคน นี่ข้อที่ ๑พูดถึงว่าถ้ามันภาวนาไม่ได้

ไอ้ข้อที่ ๒ นี่เหมือนกัน ถ้าข้อที่ ๒ เขาบอกว่า ถ้ามันอย่างนั้นก็ต้องใช้พุทโธยาวๆ

ถ้าใช้คำบริกรรมยาวๆ มันก็ต้องมีปัญญา มันมีปัญญาของมันไป เวลาสอนให้ครูบาอาจารย์สอน แต่ถ้าเวลาเราเกิด เวลาเราภาวนาของเรา ถ้าภาวนาของเรา ถ้าเรามีเหตุมีผลของเรา เราแก้ไขของเรา 

เวลาแก้ไขของเรา เวลาหลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่า แล้วเวลาท่านลงมากรุงเทพฯ สมเด็จฯ ถาม ท่านมั่น ท่านอยู่ในป่าในเขา แล้วไปฟังเทศน์จากใคร ใครสอนท่านมั่นล่ะ” ท่านเป็นสมเด็จฯ ท่านอยู่วัดพระศรีมหาธาตุฯ ท่านสอนคนทั้งหมด ถ้าเราอยู่กับกองตำรา เรายังสงสัย ต้องเปิดตำราตลอดเลย แล้วท่านอยู่ในป่าในเขา ใครไปสอนท่าน

หลวงปู่มั่นกราบนะ เกล้ากระผมฟังธรรมทั้งวันทั้งคืนเลย” 

ถ้าเกล้ากระผมฟังธรรมทั้งคืน มันผุด เวลาธรรมมันผุด คนไม่เคยภาวนาไม่รู้จักธรรมผุดหรอก เวลาธรรมมันผุด มันจะพูดนะ อย่างหลวงปู่มั่นท่านบอกท่านขึ้นเป็นภาษาบาลีเลย อย่างของหลวงปู่จวนก็ขึ้นเป็นภาษาบาลีเลย แต่หลวงตาบอกของท่านขึ้นเป็นภาษาไทย เวลามันขึ้นมา เวลาธรรมมันผุดๆ ถ้าธรรมมันผุดขึ้นมา เห็นไหม อันนั้นธรรมผุด มันไม่ใช่มรรค 

นี่พูดถึงเวลาที่เขาปฏิบัติไป เขาเรียกว่าฟังเทศน์ตลอดเวลา ธรรมมันผุดคือธรรมะสอน คือสติปัญญาเรามันเกิด เราสอนตัวเองไง เราสอนตัวเอง เรามีสติปัญญายับยั้งตัวเองไง เรามีเหตุมีผลชั่งตวงว่าถูกหรือผิด มันมีเหตุผลอย่างนี้ไง

ไอ้นี่ว่าถ้าไปฟังเทศน์มันก็ฟัง หาครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง แต่เวลาเราปฏิบัติไปมันจะเกิดปัญญา เราจะสอนตัวเองได้ มันจะมีคุณธรรมในตัวเรา มันต้องเข้มแข็งอดทนอย่างนี้ มันจะเป็นไป ไอ้นี่ว่าทำแล้วเมื่อปีที่แล้วเมื่อนู้นเมื่อนี้ เมื่อนั้นก็คือเมื่อนั้น คนที่ปฏิบัติเยอะมาก ปฏิบัติแล้วก็เลิกไป ส่วนใหญ่เวลาถามปัญหานะหลวงพ่อ ของผมเคยเป็นอย่างนั้นๆ

เมื่อไหร่ล่ะ

เมื่อ ๗ ปีที่แล้ว แล้วเลิกไป นี่จะมาเอาใหม่

ปฏิบัติพอเขาเบื่อๆ ก็เลิกไป พอกระแสสังคมมาก็มาปฏิบัติใหม่ พอปฏิบัติไม่ได้ เดี๋ยวก็เลิกไป เลิกไป เดี๋ยวก็กลับมาปฏิบัติใหม่ มันก็อยู่แค่นั้นแหละ ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ถ้าทำอย่างนี้ โลกเป็นอย่างนี้ หาคนจริงจัง หาคนมั่นคงหายาก หาคนที่มีบารมีที่จะเอาจริงเอาจังหายาก ถ้ามันไม่ได้ก็ไม่ได้อย่างนี้

นี่ข้อที่ ๓เวลากัณฑ์เทศน์ เขาว่าเทศน์สอนเขา ถ้าเทศน์สอนเขา ที่ว่าอย่างนี้เป็นเล่ห์กลหรือไม่ ถ้าเกิดเขากำหนดมรณานุสติต่างๆ

ไอ้นี่มันเป็นเทคนิค มันเป็นอุบายไง ทำความสงบ ๔๐ วิธีการ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นถึงจริตนิสัยของคน เห็นถึงความมั่นคงของคน ถึงเปิดแนวทางไว้ ๔๐ แนวทาง การทำความสงบของใจ การทำความสงบของใจ ๔๐ วิธีการ ถ้าจิตใจไม่สงบแล้วเอาอะไรปฏิบัติ

สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔” ในคอมพิวเตอร์เยอะแยะ สติปัฏฐาน ๔ ใครก็เขียนได้ กาย ใครก็นึกได้ แต่มันไม่เป็นหรอก เพราะจิตไม่สงบ เพราะจิตมันไม่สงบ ถ้าจิตสงบ เพราะจิตเป็นคนเห็น เวลาเราเห็น อารมณ์เห็น ความคิดเห็น สามัญสำนึกเห็น เราสร้างภาพได้ เรานึกได้ เราควบคุมได้ 

แต่เวลาจิตสงบแล้วมันเป็นหนึ่ง ไม่มีใครสามารถควบคุมมันได้ ถ้ามีสติปัญญา ถ้ามันน้อมไปเป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามันมิจฉาสมาธิมันว่างๆ ควบคุมไม่ได้ ดูแลไม่ได้ ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิแล้วรำพึงไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง 

เพราะจิตมันเห็น จิตมันเป็น พอจิตมันเห็น จิตมันเป็นปั๊บ มันสะเทือนหัวใจ ถ้าสะเทือนหัวใจนี่ขนลุกเลย คนเห็นนี่ขนลุกๆ มันสะเทือนใจขนาดนั้น ถ้ามันเป็นความจริงนะ ถ้าไม่เป็นความจริงก็ปากเปียกปากแฉะ โม้กันไป มึงก็โม้มา กูก็โม้ไป สังคมขี้โม้ ไม่เป็นความจริง 

ถ้าเป็นความจริง มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกในหัวใจนั้น ถ้าเป็นหัวใจนั้นจะเป็นความจริงอย่างนั้น ถ้าความจริงอย่างนั้น เห็นไหม ให้ปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าปฏิบัติอย่างนี้แล้วมันถึงจะดีขึ้นไง ไม่อย่างนั้นบอกว่า “กิเลสบังเงาหรือเปล่า กิเลสบังเงาหรือเปล่า” 

ไม่ใช่หรอกตอนนี้มันเป็นความคิดเลย มันเป็นเรื่องดิบๆ เลย กิเลสบังเงาคือว่าอ้างพุทธพจน์ อ้างความเป็นจริงให้เราไขว้เขว ให้เราออกจากช่องทางนั้น นั่นกิเลสบังเงา ทั้งๆ ที่ปฏิบัติมาเพื่อธรรม แต่กิเลสมันอ้างธรรมะแล้วชักนำให้เราหลงทางไป นั่นกิเลสบังเงา แต่นี่ปฏิบัติแล้วล้มลุกคลุกคลานตั้งตนขึ้นมาไม่ได้เลย ฉะนั้น ฝึกหัดให้เข้มแข็ง ให้ทำได้จริง

เวลาพระเราอดนอนผ่อนอาหาร เวลาเขาทำ ไปนั่งบนหน้าผาตัดต่างๆ เขาลงทุนลงแรงเพราะอะไรล่ะ ก็เพราะอย่างนี้ไปคุ้นชินกับมันแล้วมันลูบหัวเล่น กิเลสมันลูบหัวเล่นเลย กิเลสมันตบหัวเล่นเลย เอาจริงกับมันไปนั่งตามหน้าผา ครูบาอาจารย์ท่านทำอย่างนั้น

แต่เราเห็นมีอยู่วัดหนึ่งเห็นเขาทำกันอย่างนั้นก็ทำบ้าง ไปนั่งบนขื่อ ตกมาขาหักเลย ไอ้นี่มันทำครึ่งๆ กลางๆ ไง ไอ้เวลาคนเลียนแบบ มีอยู่วัดหนึ่งไม่อยากเอ่ยชื่อ เลียนแบบกัน แหมแอ๊ก ไปนั่งบนขื่อ แล้วตกมาขาหัก มันไปนั่งที่ไม่อันตราย มันไม่จริง จริงให้มันตกไปตายเลยสิ คนเรานี่มันเห็นแบบอย่างแล้วมันก็ไปเลียนกัน แล้วเลียนโดยกิเลส เอากิเลสบังเงา ทำกันแบบเดี๋ยวนี้มีแต่รูปแบบ ไม่มีใครจริง ไม่มีความจริง

ถ้ามีความจริง เขาทำที่ไหนของเขามันก็ได้ผล ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาคือมรรค แล้วมรรคเป็นอย่างไร ถ้าใครมีมรรค เจอกันหน่อย ถามทีมันตอบไม่ถูกหรอก คนไม่รู้ไม่เห็น ตอบไม่ได้ ตอบก็นี่ไง พุทธพจน์ๆ นั่นแหละ พุทธพจน์แขวนไว้ เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่กูจะคุยกับมึง คุยกับประสบการณ์ของมึง พุทธพจน์แขวนไว้ ถ้าเอาจริงนะ 

ไอ้นี่พูดไปก็อย่างว่า หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ เราก็เป็นพระเหมือนกัน เราก็อยู่ในวงปฏิบัตินี่แหละ แต่มันเป็นอยู่อย่างนี้ ทำอย่างไรได้ล่ะ เมื่อกี้ที่เริ่มต้นที่ว่าขอบคุณเว็บไซต์นี้มาก ถ้าเว็บไซต์ของเรานะ ถ้าพูดตามความเป็นจริง ใครเข้าไปหาประโยชน์ก็ได้ประโยชน์ แต่ถ้าจิตใจเขา เขาจะหาผลประโยชน์ของเขา เขาไม่ชอบเว็บไซต์เราหรอก ไม่ชอบก็เรื่องของเขา

เวลาหลวงตาท่านสอนไง เรื่องของเรา เรื่องของเราเรื่องของนักปฏิบัติ เรื่องของเราเรื่องหาความจริงกัน หาเรื่องของเรา เรื่องของเขาเป็นเรื่องของเขา เราเอาเรื่องของเราดีกว่า เราดูแลหัวใจเราดีกว่า เราประพฤติปฏิบัติด้วยความจริงในใจเราดีกว่า เอวัง